โรคไขมันพอกตับ Non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD) เป็นภาวะที่ไขมันสะสมในตับมากเกินไปทำให้ตับทำงานได้ยากขึ้น ไขมันพอกตับอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การอักเสบ การสร้างแผลเป็น โรคตับแข็ง และโรคมะเร็ง ไขมันพอกตับ มักจะเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่ก่อให้เกิดอาการใดๆ จนถึงระยะท้ายๆ จนเกิดอาการ หรือมักเจอโดยบังเอิญ จากการตรวจเลือด หรือทำอัลตราซาวด์
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และวิธีการป้องกันหรือรักษาไขมันพอกตับ
หนึ่งในสาเหตุหลักของไขมันพอกตับ คือ การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมของอาหารทั้วไปในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการใส่เพิ่มเติมน้ำตาล ที่พบในอาหาร และเครื่องดื่มแปรรูปหลายชนิด
น้ำตาล เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ถ้าบริโภคมากเกินไปก็สามารถส่งผลเสียต่อตับได้ ในบทความนี้ เราจะดูว่าน้ำตาลชนิดต่างๆ ทำให้เกิดไขมันพอกตับได้อย่างไร และสิ่งที่คุณควรทำ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดภาวะไขมันพอกตับ
น้ำตาล เป็นสาเหตุ ไขมันพอกตับ จริงหรือไม่?
โรคไขมันพอกตับ ที่ไม่เกิดจากแอลกอฮอล์ Non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD) เป็นไขมันพอกตับที่เกิดขึ้น ในคนที่ไม่ดื่มหรือดื่มน้อยมาก ไขมันพอกตับ เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนโรคเบาหวาน และโรคเมตาบอลิซึม ที่มีผลต่อวิธีการที่ร่างกายใช้น้ำตาลและอินซูลิน
ไขมันพอกตับ สามารถพัฒนาเป็น ตับอักเสบ ที่ไม่เกิดจากแอลกอฮอล์ (NASH) ซึ่งเป็นตับอักเสบที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบและความเสียหายของเซลล์ตับ
น้ำตาล ที่ได้รับจากการเติมน้ำตาล หรือน้ำเชื่อมข้าวโพด (ไฮฟรุกโตสคอร์นไซรัป (HFCS) หรือแบะแซ) อาจเป็นสาเหตุหลักของการเกิด ไขมันพอกตับ เนื่องจากสามารถกระตุ้นการสร้างไขมัน และการอักเสบของตับ ผ่านการเผาผลาญฟรุกโตส
ฟรุกโตส เป็นน้ำตาลที่พบตามธรรมชาติ ในผลไม้และน้ำผึ้ง และมักพบในอาหาร ที่ถูกเติมเข้าไปในรูปของน้ำตาลซูโครส หรือน้ำเชื่อมข้าวโพด (ไฮฟรุกโตสคอร์นไซรัป (HFCS) หรือแบะแซ) ในอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด
การเผาผลาญของฟรุกโตส จะแตกต่างจากกลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวอีกชนิดหนึ่ง ที่พบในแป้งและธัญพืช
ฟรุกโตสส่วนใหญ่จะถูกเอาไปจัดการโดยตับ ซึ่งสามารถลดระดับ ATP ของโมเลกุลที่ให้พลังงานแก่เซลล์และเพิ่มระดับของกรดยูริค ซึ่งเป็นของเสีย ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ และภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ผลกระทบเหล่านี้อาจทำให้เกิดการสะสมของไขมัน การดื้อต่ออินซูลิน และการอักเสบของตับ ซึ่งเป็นลักษณะของไขมันพอกตับ
การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า การบริโภคน้ำตาล จากเครื่องดื่มหรืออาหารที่มีน้ำตาล มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และความรุนแรงของโรคไขมันพอกตับ ทั้งในสัตว์และมนุษย์
ตัวอย่างเช่น การศึกษาพบว่า ผู้ป่วยไขมันพอกตับ ที่ได้ทานน้ำตาลจากน้ำหวาน หรือน้ำอัดลม ในปริมาณที่มากกว่ากลุ่มควบคุม พบว่ามีระดับเอนไซม์ฟรุกโตสไคเนสที่สูงกว่า ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการเผาผลาญฟรุกโตสในตับ
การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งพบว่า เด็กที่เป็นไขมันพอกตับ ที่ได้ทานอาหาร หรือขนมที่เติมน้ำตาลเพิ่มเข้าไป พบว่ามีปริมาณไขมันในตับ และการอักเสบที่มากกว่า กลุ่มควบคุม
นอกจากนี้การศึกษาบางชิ้น แสดงให้เห็นว่า การลดการบริโภคน้ำตาล สามารถช่วยฟื้นฟูไขมันในตับ และกระตุ้นการเผาผลาญอาหาร ในผู้ป่วยไขมันพอกตับ
ฟรุกโตส เป็นสาเหตุ ไขมันพอกตับ ได้หรือไม่?
ฟรุกโตสเป็นน้ำตาลที่พบตามธรรมชาติในผลไม้ และน้ำผึ้ง ซึ่งการเผาผลาญฟรุกโตสส่วนใหญ่จะถูกส่งไปจัดการในตับเกือบทั้งหมด ซึ่งถ้ามีมากเกินไป จนตับไม่สามารถจัดการได้หมด ตัวฟรุกโตส จุถูกเป็นเป็นไขมันและไปสะสมในเซลล์ตับ าทำให้เกิดการสะสมไขมันการดื้อต่ออินซูลิน และการอักเสบของตับ จนกลายเป็นไขมันพอกตับในที่สุด
การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า การบริโภคฟรุกโตสจากเครื่องดื่มหรืออาหารที่มีน้ำตาลนั้น เกี่ยวข้องกับเพิ่มความเสี่ยง และความรุนแรงของโรคไขมันพอกตับในสัตว์และมนุษย์ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่ง พบว่า หนูที่เลี้ยงฟรุกโตส มีไขมันในตับ และการอักเสบมากกว่าหนูที่เลี้ยงด้วยน้ำหรือกลูโคส
การศึกษาอีกชิ้นพบว่า ผู้ที่บริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตส เป็นเวลา 10 สัปดาห์ พบว่ามีไขมันสะสมในตับเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีกลูโคส นอกจากนี้การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า การลดการบริโภคฟรุกโตส ช่วยให้ไขมันพอกตับดีขึ้น และกระตุ้นการเผาผลาญสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้
น้ำเชื่อมข้าวโพด เป็นสาเหตุ ไขมันพอกตับ จริงหรือไม่?
- น้ำเชื่อมข้าวโพด (ไฮฟรุกโตสคอร์นไซรัป (HFCS) หรือแบะแซ) เป็นสารให้ความหวาน ที่ทำจากแป้งข้าวโพด ซึ่งประกอบด้วยฟรุกโตส และกลูโคสในสัดส่วนที่แตกต่างกัน
- น้ำเชื่อมข้าวโพด (HFCS)ใช้กันอย่างแพร่หลายในอาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน ธัญพืช ขนมอบ ซอส และเครื่องปรุงรส
- น้ำเชื่อมข้าวโพด (HFCS) ถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุของโรคอ้วนและโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น ไขมันพอกตับ
- น้ำเชื่อมข้าวโพด (HFCS) อาจมีผลต่อตับใกล้เคียง หรือแย่กว่าฟรุกโตส แยกต่างหากขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของฟรุกโตส จะถูกแปลงเป็นน้ำตาลกลูโคส
การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า สารประกอบน้ำเชื่อมข้าวโพด (HFCS)ที่มีปริมาณฟรุกโตสสูงกว่า
(เช่น 65% หรือ 55%) บางประเภทอาจมีปริมาณฟรุกโตสต่ำกว่า (เช่น 42%) หรือน้ำตาลซูโครส (ซึ่งมีฟรุกโตส 50%) ซึ่งปริมาณฟรุกโตสที่สูงขึ้นก็จะเพิ่มการดูดซึม และการเผาผลาญฟรุกโตสในลำไส้และตับมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดไขมันที่ตับมากขึ้น
น้ำผลไม้ เป็นสาเหตุ ไขมันพอกตับ จริงหรือไม่?
น้ำผลไม้เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่มีน้ำตาลธรรมชาติจากผลไม้ เช่น ฟรุกโตส กลูโคส และซูโครส น้ำผลไม้บางส่วน อาจมีใส้น้ำตาลเพิ่มหรือที่เรียกว่า น้ำเชื่อมข้าวโพด (HFCS) เพื่อเพิ่มความหวานและรสชาติ น้ำผลไม้มีน้ำตาลเข้มข้นสูง และไฟเบอร์เข้มข้นต่ำ เมื่อเทียบกับการทานแบบทั้งผลสดๆ โดยไฟเบอร์ช่วยชะลอการย่อย และการดูดซึมน้ำตาล ซึ่งป้องกันการพุ่งเข้าของระดับน้ำตาลในเลือด และระดับของอินซูลิน ไฟเบอร์ ยังช่วยเลี้ยงแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ ซึ่งสามารถป้องกันการอักเสบ และสารพิษจากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ดังนั้นการดื่มน้ำผลไม้ อาจทำให้ตับได้รับน้ำตาลมากขึ้น และมีใยอาหารน้อยลงกว่าการกินผลไม้ทั้งลูก
การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า การบริโภคน้ำผลไม้ มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงหรือความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของไขมันพอกตับ ทั้งในสัตว์และในมนุษย์ ตัวอย่างเช่น การศึกษาหนึ่งพบว่า หนูที่เลี้ยงด้วยน้ำแอปเปิ้ล มีไขมันในตับและการอักเสบ มากกว่าหนูที่เลี้ยงด้วยน้ำหรือเนื้อแอปเปิ้ล
การศึกษาอื่น พบว่าเด็กที่เป็นโรคไขมันพอกตับ ที่ทานน้ำผลไม้ในปริมาณที่สูงกว่ากลุ่มควบคุม พบว่ามีความเสียหายของตับ และการดื้อต่ออินซูลินที่มากกว่ากลุ่มควบคุม
การกินผลไม้ เป็นสาเหตุ ไขมันพอกตับ จริงหรือไม่?
การกินผลไม้ มักถือว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากผลไม้ ให้วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และสารพฤกษเคมี ที่สามารถป้องกันหรือรักษาโรคต่างๆ ได้ ผลไม้ มีส่วนผสมของน้ำตาลธรรมชาติ ทั้งน้ำตาลกลูโคส ซูโครส มีไฟเบอร์เส้นใย ช่วยรักษาสมดุล ไม่ให้มีการดูดซึมน้ำตาลในปริมาณที่มากและเร็วจนเกินไป
การรับประทานผลไม้ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ได้เป็นสาเหตุที่จะทำให้เกิดไขมันพอกตับ แถมยังช่วยป้องกัน
การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการบริโภคผลไม้ มีความสัมพันธ์เชิงลบกับความเสี่ยงหรือความรุนแรงของไขมันพอกตับในทั้งสองกรณีสัตว์และมนุษย์ ตัวอย่างเช่น การศึกษาพบว่าหนูที่เลี้ยงบลูเบอร์รี่ มีการลดลงของไขมันในตับและอักเสบ ดีกว่าหนูที่กินอาหารไขมันสูงอย่างเดียว
ผลการศึกษาอีกชิ้นพบว่า ผู้ป่วยไขมันพอกตับที่กินผลไม้มากขึ้น มีเอนไซม์ตับต่ำกว่าและตับทำงานได้ดีกว่าคนที่กินผลไม้น้อยลง
อย่างไรก็ตาม การกินผลไม้มากเกินไป หรือผลไม้บางประเภทอาจไม่ดีต่อตับเช่นกัน โดยเฉพาะหากผลไม้นั้นมีฟรุกโตสในปริมาณสูง หรือมีเส้นใยต่ำ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าผู้ป่วยไขมันพอกตับ ที่รับประทานผลไม้อบแห้งในปริมาณที่มาก จะมีพังผืดในตับมากกว่าผู้ที่รับประทานผลไม้อบแห้งในปริมาณที่น้อยกว่า
การศึกษาอีกชิ้นพบว่า ยิ่งผู้ป่วยไขมันพอกตับกินองุ่นมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีไขมันในตับมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับคนที่กินองุ่นในปริมาณที่น้อยกว่า
ดังนั้นจึงควรเลือกผลไม้ที่มีปริมาณฟรุกโตสต่ำ อุดมไปด้วยไฟเบอร์
เช่น ผลเบอร์รี่ ผลไม้ตระกูลส้ม ผลไม้ประหลาด และแอปเปิ้ล
และจำกัดการบริโภคผลไม้มีปริมาณฟรุกโตสสูงและมีเส้นใยต่ำ เช่น พุทรา มะเดื่อ ลูกเกด กล้วย และองุ่น
บทสรุป
น้ำตาล ที่ได้รับจากการเติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมข้าวโพด (HFCS) อาจเป็นสาเหตุหลักของไขมันพอกตับ เนื่องจากสามารถกระตุ้นการผลิตไขมัน และการอักเสบของตับ ผ่านระบบการเผาผลาญฟรุกโตส
การลดปริมาณน้ำตาล ในอาหารและเครื่องดื่มแปรรูป อาจช่วยป้องกันหรือฟื้นฟูไขมันพอกตับได้
หากบริโภคน้ำผลไม้ในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดไขมันพอกตับ เพราะจะทำให้ตับได้รับน้ำตาลมากขึ้น และมีเส้นใยน้อยกว่าการทานผลไม้แบบสดๆทั้งผล
การบริโภคผลไม้ ในปริมาณที่เหมาะสมสามารถป้องกันไขมันตับ เนื่องจากผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารพฤกษเคมี ที่สามารถชดเชยผลกระทบของฟรุกโตส
อย่างไรก็ตามการกินผลไม้มากเกินไป หรือผลไม้บางประเภท อาจไม่ดีต่อตับโดยเฉพาะหากมีฟรุกโตสสูงหรือมีเส้นใยต่ำ
ดังนั้น จึงควรเลือกผลไม้อย่างชาญฉลาด และสมดุลกับอาหารเพื่อสุขภาพชนิดอื่นๆ ที่มีน้ำตาลต่ำและมีเส้นใยสูง เช่น ผัก ถั่ว เมล็ดพืช และธัญพืชไม่ขัดสี